top of page

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ๒การประกวดเรียงความหัวข้อฉันจะทำชีวิตให้ชัดเจน แม้จะอยู่ในโลกแห่งความเลือนราง

โครงการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เนื่องในโอกาสจัดตั้งวันคนสายตาเลือนราง ประจำปี ๒๕๖๔

ประเภทสายตาเลือนรางได้แก่ อนุรักษ์ ปฐมลิขิตกาญจน์




เรียงความเรื่อง “ฉันจะทำชีวิตให้ชัดเจน แม้จะอยู่ในโลกแห่งความเลือนราง”

หากให้ผมเปรียบชีวิตของผมรวมถึงเพื่อน พี่น้อง สายตาเลือนราง ก็เหมือนดั่งมีเมฆหมอกเข้ามาบดบังดวงตา ไม่ให้เห็นถึง “ความชัดเจน” ที่ซึ่งคนปกติทั่วไปนั้นจะเข้าใจ แต่ชีวิตของผมรวมถึงกลุ่มเขาเหล่านั้นยังต้องต่อสู้ดิ้นรน โดยมีแรงบันดาลใจเป็นเสมือนคบเพลิงที่ส่องแสงสว่างเพื่อนำทางชีวิต โดยไม่เคยคิดท้อ อ่อนแรงหรือไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใคร ๆ โดยไม่จำเป็น แต่กลับกลายเป็นว่า ความพิการเป็นเพียงภาพร่างกายภายนอก แต่ภายในจิตใจของพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้สร้างความสุขรวมถึงสามารถเป็นผู้มอบแสงสว่าง และแรงบันดาลใจให้ใครหลาย ๆ คนในสังคมคนทั่วไป ผ่านกิจกรรมและการดำรงชีวิตประจำวันของพวกเขา จนพวกเขาเหล่านั้นเป็นที่ยอมรับต่อคนในครอบครัว ชุมชนรวมถึงสังคม เพราะพวกเขาเชื่อว่า พลังการให้นั้น ทำให้พวกเขามีความสุข และตระหนักถึงคุณค่าของการมีชีวิต

เมื่อย้อนกลับไปในอดีต ผมเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่กำเนิดโดยโรงพยาบาลเป็นสถานที่แรกที่ผมได้พบกับพ่อและแม่ในปัจจุบัน ท่านทั้งสองมีความตั้งใจที่จะรับอุปการะดูแลผมถึงแม้ว่า คุณหมอจะรายงานว่าผมเองเป็นคนพิการทางการเห็นก็ตาม ซึ่งในเบื้องต้นพวกท่านเองก็รู้ดีว่า ผมมองไม่ชัดเหมือนกับบุคคลทั่วไป คือ ตาด้านขวามีอาการมองได้ไม่ชัดเจน และด้านซ้ายมองไม่เห็น แต่พวกท่านทั้งสองยังยืนยันหนักแน่นในการดูแลผม โดยไม่ส่งคืนสถานสงเคราะห์ตามการขอร้องของญาติ ๆ ต่อมาอาการทางการมองเห็นของผมมีความชัดเจนมากขึ้น คำตอบของโรคจึงอยู่ที่โรงพยาบาลที่ผมจะต้องไปรักษา เนื่องจากครอบครัวมีความหวังว่า อาการของผมที่เป็นอยู่จะต้องดีขึ้น ซึ่งช่วงนั้นผมเองยังเป็นเพียงเด็กน้อย อายุ 2 ถึง 5 ปีเท่านั้น รวมถึงสมัยนั้นกว่า 30 ปีก่อนกระบวนการการรักษาในรูปแบบของจักษุวิทยายังอยู่เพียงในกรุงเทพมหานครฯ ครอบครัวของผมจึงจะต้องเข้าออก และเปลี่ยนโรงพยาบาลหลายแห่ง ครอบครัวของผมมีความหวังอยู่เสมอที่จะเสาะแสวงหาหนทางรักษาให้ผมดีขึ้นให้ได้จากอาการดังกล่าวที่รบกวนทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน และรบกวนพัฒนาการในวัยเด็กของผม แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจำความได้ตลอดชีวิต คือ จะมีเสียงของคุณแม่ของผมถามคุณหมออยู่เสมอ ๆ ว่า “ลูกชายของดิฉันมีหนทางรักษาหายไหมคะ” คำตอบของคุณหมอ คือ “คุณหมอจะพยายามรักษาให้ได้ผลดีที่สุดเพราะเวลานี้ยังไม่มีหนทางรักษาให้หาย” แล้วแม่ผมก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร เพราะความรู้สึกในตอนนั้นไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูด รวมถึงไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกทุกข์ระทมที่อยู่ภายในใจให้ใครฟังได้ คุณหมอได้สรุปผลตรวจว่า ผมเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม

ด้วยพลังแห่งความรักจากครอบครัวที่ไม่อยากเห็นผมต้องทรมานจากการตรวจอีกต่อไป จึงตัดสินใจก้าวออกจากการรักษาจากโรงพยาบาลทุกแห่ง และกลับมาพัฒนาตนเองอยู่ที่บ้านผ่านการเรียนหนังสือ โดยแม่ของผมจะเป็นผู้สอนหัดลากเส้นตัวอักษรปกติรวมถึงผมจะต้องหัดทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การหัดใส่เสื้อผ้า การหัดทานอาหารด้วยตนเอง รวมถึงการหัดอาบน้ำ เป็นต้น ซึ่งขณะนั้นครอบครัวก็ยังพยายามหาโรงเรียนที่เหมาะสมกับตัวของผม เพื่อการพัฒนาและปรับพฤติกรรมให้ใช้ชีวิตภายในสังคมได้ ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดในสมัยนั้น คือ การส่งผมเข้าศึกษาที่โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯ เมื่อผมอายุ 8 ขวบ จุดเปลี่ยนในชีวิตของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น วันเปิดเทอมได้มาถึง คุณพ่อและคุณแม่พร้อมครอบครัวมาส่งผมที่โรงเรียน ครอบครัวของผมกำชับให้ผมดูแล และช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุดระหว่างที่ใช้ชีวิตในโรงเรียน ผมจึงได้มีโอกาสปรับตัวอยู่ร่วมกับเพื่อนที่มองไม่เห็น บางครั้งจะต้องทำกิจกรรมที่แตกต่างกัน และบางครั้งจะต้องช่วยเหลือเพื่อนที่มองไม่เห็น ตามความความสามารถในการมองเห็นของผมที่จะสามารถทำได้ ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียน โดยลำพังห่างไกลจากคุณพ่อและคุณแม่ ผมได้ฝึกใช้อักษรเบรลล์ และฝึกใช้คอมพิวเตอร์แบบที่มีเสียงสังเคราะห์ ฝึกการนำทางโดยใช้ไม้เท้าขาว และฝึกวิธีการปรับตัวเพื่อเข้าสู่สังคมคนทั่วไป ผมใช้เวลาศึกษาอยู่ในโรงเรียนสอนคนตาบอดเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 8 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาที่ผมจะต้องออกไปเรียนร่วมกับเพื่อนคนทั่วไป

ผมเลือกศึกษาต่อที่โรงเรียนภัทรญาณวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาสำหรับบุคคลทั่วไป และเป็นโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนรวมเพียงแห่งเดียวใน จังหวัดนครปฐม ที่รับคนตาบอดและสายตาเลือนรางเข้าศึกษา ที่นี้เองทำให้ผมได้พัฒนาตนเองอย่างเต็มรูปแบบจากครูที่ปรึกษาที่มีความถนัดในหลาย ๆ ด้าน เช่น การฝึกให้เกิดภาวะผู้นำ การฝึกในเชิงวิชาการ รวมถึงฝึกให้ทำกิจกรรมกับต่างโรงเรียน เป็นต้น จากการได้ศึกษาในช่วงเวลา ดังกล่าว ทำให้ผมได้มีโอกาสได้รับรางวัล และมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนต่างโรงเรียนที่เป็นนักเรียนปกติในหลายกิจกรรม แต่สิ่งที่ภูมิใจ คือ การมีเพื่อนและคุณครูคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ จนมีครั้งหนึ่งที่ผมเองไม่เคยลืมไปตลอดชีวิต คือ การได้มีโอกาสเข้ารับรางวัลรองชนะเลิศ การประกวดคำขวัญในการอนุรักษ์คลองเจดีย์บูชาจากผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม การมีโอกาสเป็นตัวแทนคนพิการทางการเห็นเข้าค่ายในระดับเครือข่ายเด็กและเยาวชนในระดับจังหวัด และได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนครปฐมโมเดลในส่วนของเยาวชน ความภูมิใจเหล่านี้กลายเป็นก้าวที่สำคัญต่อการเรียน และการทำงานในอนาคตของผม ผมได้ค้นพบความจริงว่า การที่เราออกไปทำกิจกรรมต่างโรงเรียน รวมถึงได้มีโอกาสในการขับเคลื่อนสังคมนั้น ส่งผลให้เกิดเป็นแรงผลักดันที่มหาสาร มันทำให้ผมได้ตัดสินใจเลือกที่จะต่อสู้ในการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีโดยตัดสินใจชิงที่นั่งในโครงการนักศึกษาพิการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จากนักเรียนพิการทั้งประเทศ ซึ่งต้องอาศัยความกล้าและความพยายามอย่างสูงเนื่องจากปัญหาทางสายตา ในเรื่องของการทบทวนหนังสือรวมถึงอุปกรณ์ที่ไม่พร้อม แต่ผมก็ไม่ย่อท้อต่อความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ผมกลับไปยังโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯอีกครั้ง เพื่อปรึกษาและขอความช่วยเหลือ หลังจากนั้นความพยายามก็ประสบผลสำเร็จคือ ผมติด 1 ในคณะรัฐศาสตร์ที่เคยได้หวังเอาไว้ เมื่อผมได้มีโอกาสศึกษาในรั้วของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้วนั้น ชีวิตของผมก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ซึ่งเป็นก้าวที่สำคัญอีกก้าวหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้ คือ นอกจากการเรียนในวิชาต่าง ๆ ของทางคณะแล้ว ผมยังได้มีโอกาสทำกิจกรรมที่หลากหลายมากขึ้นร่วมกับเพื่อนปกติ และจากการศึกษาที่ได้รับจากอาจารย์ในมหาวิทยาลัยรวมถึงสังคมที่ผมต้องเรียนรู้ทำให้ทางเดินชีวิตผมชัดเจนมากขึ้นทั้งในเรื่องการประกอบอาชีพรวมถึงงานด้านการพัฒนากลุ่มคนพิการทางการเห็น

ปัจจุบันหลังจากสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้วนั้น ผมก็ตัดสินใจศึกษาต่อในระดับชั้นปริญญาโท และได้เข้าทำงานประจำเป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ประจำกรมการท่องเที่ยว อีกทั้งผมก็ยังทำงานด้านอาสาสมัคร เพื่อตอบแทนโอกาสที่สังคมมอบให้ โดยการพัฒนากลุ่ม เล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า “กลุ่มเพื่อนเธอตลอดไป สร้างสายใยต่อสังคม” จากความเชื่อที่ว่า คนพิการทางการเห็นสามารถพัฒนาศักยภาพเหมือนกับคนปกติได้ โดยผ่านกิจกรรมที่หลากหลายตลอดระยะเวลา 5 ปี

จากอดีตจนถึงปัจจุบันชีวิตของผมกล่าวได้ว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้มีทั้งประสบการณ์ และความทรงจำในเรื่องต่าง ๆ มากมายทั้งในเรื่องของความสุข ความทุกข์ ความผิดหวังรวมถึงความเสียใจ ที่ถือได้ว่าช่วงชีวิตคนเรามาถึงจุดนี้ได้จะต้องอาศัยแรงใจ แรงกายรวมถึงสติปัญญา ในการก้าวผ่านในทุกจังหวะของชีวิต โดยพลังที่สำคัญ คือ พลังจากตนเอง พลังครอบครัว และพลังจากคุณครูอาจารย์ที่ช่วยเสริมหนุนให้เราประสบความสำเร็จรวมถึงพลังจากบทเพลงพระราชนิพนธ์ยิ้มสู้ ของพ่อหลวงรัชการที่ 9 ซึ่งผมถือได้ว่าเป็นบทเพลงหนึ่งที่สำคัญต่อชีวิตและเปรียบเสมือนคบไฟที่ทำให้ผมเอง รวมถึงกลุ่มคนพิการทางการเห็นส่องเห็นทางสว่างกลางใจของพวกเรา ดังประโยคหนึ่งในบทเพลงพระราชนิพนธ์ “ยิ้มสู้” ของนายหลวงรัชการที่ 9 ที่ทรงเคย พระราชนิพนธ์ไว้ เพื่อเป็นกำลังใจแก่คนพิการทางการเห็น คือ “ ไยนึกกลัวหวาดเกรงยิ้มสู้ “ ถ้อยคำนี้ทำให้ตัวของผมรวมถึงกลุ่มพี่น้อง พิการทางการเห็น เกิดกำลังใจในการฝ่าฟันกับปัญหาชีวิต เพื่อทำให้สังคมได้รู้ว่า “ถึงแม้คนสายตาเลือนรางจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่พวกเขาเหล่านั้นก็สามารถเป็นแรงผลักดันให้เกิดความชัดเจนขึ้นในใจของสังคม”

ดู 183 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page