top of page

รางวัลชนะเลิศ การประกวดเรียงความหัวข้อ ฉันจะทำชีวิตให้ชัดเจน แม้จะอยู่ในโลกแห่งความเลือนราง

โครงการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เนื่องในโอกาสจัดตั้งวันคนสายตาเลือนราง ประจำปี ๒๕๖๔

ประเภทสายตาเลือนราง ได้แก่ นางสาว ปิยรัตน์ เอี่ยมทรัพย์



“ฉันจะทำชีวิตให้ชัดเจน แม้จะอยู่ในโลกแห่งความเลือนราง”


ฉันยังจำภาพเก่าๆ เมื่อครั้งในวัยเยาว์ ภาพพ่อกับแม่ที่เป็นเพื่อนเล่นกับฉัน ยังคงสร้างรอยยิ้มที่มีความสุขได้ทุกครั้งที่นึกถึง แม้วันเวลาจะผ่านไปเกือบห้าสิบปี แต่ฉันยังจำคำถามที่พ่อกับแม่หรือผู้ใหญ่มักจะชอบถามฉันว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” คำตอบยอดนิยมของเด็กอย่างฉันคือ หนูอยากเป็นเภสัชกร บางทีก็เปลี่ยนเป็นนักดนตรี อยากเป็นนักกีฬาก็มี แต่สุดท้ายเมื่อโตขึ้นก็รู้ว่าตัวฉันอยากเป็นเลขานุการที่เก่ง และสามารถเข้าร่วมงานกับองค์กรขนาดใหญ่ได้ ความฝันของฉันเป็นจริงแล้ว และเส้นทางชีวิตกำลังไปได้ดี จวบจนวันหนึ่งที่ฉันก็ต้องช็อคสุดขีด เมื่อพบตัวเองกำลังเป็นโรคที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย โรคนั้นคือ “ต้อหิน”

อาการช็อคสุดขีดไม่ได้เป็นแค่เพียงตัวฉัน แต่ฉันก็รู้ว่าพ่อกับแม่คงรู้สึกสงสารลูกคนนี้จับใจ เพียงแต่ท่านทั้งคู่ไม่ได้ฟูมฟายเหมือนกับฉัน ฉันยอมรับเลยว่าตอนนั้นฉันสติแตก ร้องไห้ตลอดเวลาเป็นวันๆ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมโรคนี้ต้องมาเกิดกับตัวฉัน ทั้งๆ ที่ฉันอายุเพียง ๒๕ ปี ฉันยังอยากทำงานอีกนานๆ เพื่อที่จะได้มีตำแหน่งการงานที่ดี มีฐานะมั่นคง สามารถเลี้ยงดูพ่อกับแม่ให้ท่านอยู่อย่างสบาย ฉันยังอยากท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง แต่ทำไมชีวิตของฉันต้องมาจบเพียงเพราะโรคต้อหิน ซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง รักษาก็ไม่หาย และที่น่ากลัวที่สุดก็คือ สักวันฉันจะต้องกลายเป็นคนตาบอด แล้วฉันจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร ภาระที่ตัวฉันเองแบกไว้ก็มีมากมายสารพัด เครียด…จนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

ในเมื่อฉันจะต้องอยู่กับโรคต้อหินที่ว่ามานั้น เมื่อฉันได้สติ ฉันก็ได้ถามคุณหมอที่ฉันไปรักษา ว่าโรคนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมฉันถึงเป็นโรคนี้ได้ทั้งๆ ที่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้เป็น ก็ได้รับคำตอบว่า โรคต้อหินเป็นกลุ่มโรคที่มีการเสื่อมของขั้วประสาทตา ส่งผลให้เกิดการสูญเสียการมองเห็น และเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะตาบอดที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคต้อหินนั่นคือ ความดันตาที่สูงอันเนื่องมาจากการไหลเวียนผิดปกติของน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา ทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้น ส่งผลให้เส้นประสาทตาถูกทำลาย ฉะนั้นถึงต้องทำการรักษาแบบประคับประคองโดยใช้การหยอดยาเพื่อลดความดันลูกตานั่นเอง

เมื่อฉันเข้าใจในโรคที่เป็น แต่ฉันยังปฏิบัติตัวไม่ดีเท่าที่ควร ยังหยอดยาไม่ตรงเวลา มิหนำซ้ำยังแอบใส่คอนแทคเลนส์อยู่บ่อยๆ และเป็นเยื่อบุตาอักเสบบ่อยๆ ยาที่หยอดเพื่อรักษาก็เป็นสเตียรอยด์ หยอดบ่อยๆ มันก็ไม่ดี ทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้น ลานสายตาก็ถูกทำลายมากขึ้น คราวนี้ถึงเวลาช็อครอบสอง เพราะอยู่มาวันหนึ่ง เริ่มรู้สึกว่าการมองเห็นมันไม่เหมือนเดิม มันมองไม่เห็นด้านข้างๆ เดินชนโน่นชนนี่อยู่บ่อยๆ แถมการกะระยะก็แย่ลง ไม่กล้าข้ามถนนคนเดียว แม้กระทั่งลูกระนาดบนพื้นถนนยังกะขนาดความสูงไม่ได้เลย เดินไปก็สะดุดไปเรื่อย นึกว่าตัวเอง ทำไมเหมือนคนเซ่อซ่าอย่างนี้ มันเกิดอะไรกับตัวฉันอีกนี่ หรือว่าแว่นที่ใส่มันเสื่อมคุณภาพแล้ว เลยนำคำถามนี้ไปถามคุณหมอ ได้ความว่าลานสายตาของฉันถูกทำลายไปมากแล้ว มันเลยทำให้การมองเห็นลดลง และได้ตัดสินใจส่งฉันไปเรียนไม้เท้าขาวเพื่อการนำทาง

ฉันยอมรับตัวเองไม่ได้ ถึงขนาดคิดไปไกลว่านี่ฉันเข้าข่ายคนตาบอดแล้วเหรอ ก็ไหนคุณหมอบอกว่าฉันเป็นแค่คนสายตาเลือนราง แต่ฉันก็ได้ฟังคำอธิบายจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสายตาเลือนรางว่า ฉันควรจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต เพราะโรคที่ฉันเป็นนั้นมันไม่มีโอกาสหาย ทำได้แค่ประคับประคองเท่านั้น เราต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ทำให้ฉันนึกถึงพ่อที่ยืนลุ้นฉันทุกครั้งที่มาหาหมอ และสิ่งที่ฉันยังจำได้ดีไม่เคยลืมเลือน พ่อเคยถามคุณหมอว่า “คุณหมอครับ … ถ้าผมจะขอเอาดวงตาผมไปให้ลูกสาวของผมได้ไหมครับ” คำนี้มันยังก้องอยู่ในความทรงจำและยังรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณที่ทั้งพ่อและแม่มีให้กับฉันเสมอ แม่ต้องสละงานที่ทำเพื่อมาอยู่ดูแลฉัน แล้วฉันควรจะต้องทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตที่มีอยู่ สุดท้ายฉันก็เลือกไปฟื้นฟูสมรรถภาพที่ทางโรงพยาบาลส่งไป

การเรียนไม้เท้าขาวเพื่อนำทางอย่างถูกวิธีไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นเพียงเพราะฉันไม่เปิดใจกับการเรียนอย่างเต็มที่ คำอ้างของฉันก็คือไม้เท้ามันหนักมาก ถือนานๆ แล้วปวดแขน ทำให้ยกแขนไม่ขึ้น แต่จริงๆ แล้วฉันกลัวสายตาของคนรอบข้างมากกว่า ยอมรับความจริงคือ ฉันอาย ที่จะต้องมีไม้เท้าติดตัวไปไหนต่อไหนตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ฉันก็ยังสวมแว่นสายตาอยู่ คนเค้ามองฉันจะคิดว่าฉันนี่มันยังไง แว่นตาก็ใส่ ไม้เท้าก็ถือ ระแวงความคิดของคนอื่น ตอนนั้นฉันเครียดจนแทบไม่ติดต่อกับใคร ไม่อยากให้เพื่อนรู้ ไม่ออกนอกบ้าน จนอาจารย์ที่สอนฉันสังเกตุและได้มาคุยด้วย ท่านได้บอกเล่าประสบการณ์ที่เจอคนพิการทางการเห็นมากมาย แต่ละคนต้องผ่านอะไรมาเยอะแยะ บางคนก็ไม่มีโอกาสมาเรียนการใช้ไม้เท้าอย่างถูกวิธี ใช้ผิดก็ทำให้เราอันตรายได้ ไม้เท้าเปรียบเสมือนตาของเรา มันจะทำให้เราปลอดภัย และที่สำคัญ มันจะพาเราไปไหนต่อไหนได้อย่างอิสระเสรี ยิ่งพอเราใช้เป็นมากขึ้น ฝึกเดินจากสถานที่ที่ใช้ในชีวิตประจำวันบ่อยๆ เก่งขึ้นก็เริ่มไปไหนได้ไกลขึ้น ต่อไปก็สบาย จะไปเหนือ ใต้ ออก ตก หรือต่างประเทศ ก็สบาย ไม่ต้องไปแคร์สายตาใคร นี่มันชีวิตของเรา ฉันฟังแล้วเห็นด้วยนะ แต่ก็ยังไม่มั่นใจ กลัวทุกครั้งที่ออกถนนใหญ่ ระทึกสุดๆ ไม่ว่าจะฝึกเดินขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า ลงเรือ หัดเดินขึ้นและลงบันไดเลื่อน นอกจากนั้นฉันยังต้องฝึกการไปจ่ายตลาด ลงครัวทำกับข้าว ฝึกกวาดบ้านถูบ้าน ฝึกซักผ้าและรีดผ้า มากมายสารพัด แถมยังมีการสอบด้วย เพื่อที่จะได้รู้ว่าวิชาที่ร่ำเรียนไปจะสามารถนำพาชีวิตฉันให้อยู่รอดต่อไปไหม ยังไม่จบแค่นั้นฉันยังต้องเรียนเขียนอักษรเบรลล์ และการใช้คอมพิวเตอร์ด้วยเสียง ไม่ใช่การสั่งด้วยเสียง แต่เป็นโปรแกรมพื้นฐานที่ใช้ในสำนักงาน คนพิการทางการเห็นก็สามารถเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ได้ เวลาที่กดแป้นคีย์บอร์ดไปมันก็มีเสียงออกมา จะอ่านหน้าจอก็มีสกรีนรีดเดอร์ สองอย่างหลังนี้ฉันไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ แต่ก็เรียนจนสอบผ่านได้หมด

ชีวิตหลังเรียนจบ ยังคงจุ้มปุ๊กอยู่กับบ้าน ไม่เคยได้ไปไหนมาไหนเอง เนื่องจากพ่อแม่เป็นห่วง สังคมก็ไม่มีเหมือนเดิม จนวันหนึ่ง ที่สมาคมคนตาบอดมีการอบรมภาษาอังกฤษเลยขอพ่อไปเรียน โดยบอกพ่อว่าเรานั้นได้ผ่านการอบรมเรื่องการเดินทางด้วยไม้เท้าขาวมาแล้ว เรียนมาแต่ไม่เคยใช้จริง เดี๋ยวลืม อีกอย่างก็อยากมีเพื่อนใหม่ๆ ด้วย ได้รับอนุญาตให้ไปเรียนสมใจ เริ่มเดินทางได้เอง จากที่กลัวๆ กล้าๆ ก็มีความมั่นใจมากขึ้น เริ่มกล้าขอความช่วยเหลือคนที่ป้ายรถเมล์เพื่อให้เขาช่วยดูสายรถเมล์ให้ เริ่มกล้าถามแม่ค้าว่าร้านนี้ขายอาหารประเภทไหน ถ้าเขาขายข้าวแกงก็กล้าถามว่ามีอะไรขายบ้าง เริ่มออกไปห้างสรรพสินค้ากับเพื่อนสายตาเลือนรางและเพื่อนตาบอด สนุกดี มันทำให้ฉันรู้จักการใช้ชีวิตที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อนที่เห็นมากหน่อยคอยดูแลเพื่อนที่เห็นน้อยกว่า มันเป็นมุมมองใหม่ ที่ถ้าฉันย้อนนึกตอนยังมีสายตาปกติ ว่าทำไมคนสายตาเลือนรางเขาทำท่าเหมือนมองเห็น แต่หยิบโน่นจับนี่มีผิดพลาดบ้าง ตักอาหารในจานบางทีก็จิ้มผิด ดูเปิ่นๆ หรือบางทีก็อ่านหนังสือใกล้แทบจะกินหนังสือเลยทีเดียว หรือแม้แต่ตอนนี้ตัวฉันเองยังเป็นที่ประหลาดในสายตาของคนทั่วไป ใส่แว่นตาแต่ถือไม้เท้านำทาง จนบางทีคนเขานึกว่าฉันขาเจ็บ ทั้งๆ ที่ไม้เท้าขาวมันไม่เหมือนกับไม้เท้าชนิดอื่นๆ

เดี๋ยวนี้ฉันก็ยังคงต้องเรียนรู้เทคโนโลยีเล็กๆ น้อยๆ เช่นการใช้สมาร์ทโฟนเพื่อการเข้าถึงแอ็บพลิเคชั่น ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมของเงินในบัญชีตัวเองด้วยสมาร์ทโฟน การซื้อของออนไลน์ การสั่งซื้อยารักษาโรคให้มาส่งที่บ้านยามฉุกเฉิน หรือแม้การเข้าร่วมอบรมหรือสัมมนาด้วยโปรแกรมซูม ฉันก็สามารถทำได้เหมือนคนปกติทั่วไป บางอย่างที่ฉันไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองฉันก็จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เพราะฉันมีกายภาพทางร่างกายคือสายตาที่มองเห็นได้น้อย และเมื่อใครสงสัยในสิ่งที่ฉันเป็น ฉันก็ไม่อายที่จะบอกว่า “ฉันเป็นคนสายตาเลือนราง”

ชีวิตฉันในตอนนี้ ผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันว่าฉันโชคดี คือฉันได้ก้าวผ่านเส้นทางที่มีพื้นเป็นขวากหนามแทนที่จะเป็นกลีบกุหลาบ ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ฉันมีความอดทน ขอบคุณพ่อแม่ที่อยู่เคียงข้างฉันตลอดเวลา ทุกวันนี้ฉันสามารถดูแลพ่อและแม่ได้ดีในระดับหนึ่ง ดูแลงานบ้าน ทำกับข้าว ปรนนิบัติท่านเมื่อยามเจ็บไข้ พากันไปหาหมอที่โรงพยาบาลเองได้ เรียกรถสาธารณะให้มารับไปไหนมาไหนได้ ยังใช้ชีวิต ทานข้าวด้วยกัน ดูละครหรือดูข่าวด้วยกัน ร่วมวิพากษ์วิจารณ์ได้ด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีปิยมิตรที่ดีและน่ารักอีกมากมายคอยเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน ช่วยกันทำกิจกรรมให้กับสังคมเท่าที่ทำได้ และคนที่จะลืมคำขอบคุณไม่ได้คืออาจารย์ที่ส่งฉันไปเรียนและอาจารย์ผู้สอน ทำให้ฉันได้มีชีวิตที่อิสระเหมือนในวันนี้

ชีวิตคนเรานั้น ไม่รู้ว่าจะได้อยู่บนโลกที่สวยงามนี้นานเท่าใด แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องเจอนั่นก็คือความสุขและความทุกข์ เมื่อเรามาเจอจุดเปลี่ยนของชีวิต ก็จงทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่าปล่อยใจให้เข้าสู่หลุมดำไปนานๆ เพราะมันเสียเวลา โลกนี้ยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้เราชื่นชม แม้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาอย่างชัดเจน แต่เราก็ใช้ใจของเราสัมผัสกับสิ่งนั้นได้ไม่ใช่หรือ…





ดู 3,145 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page